English | Thai  





CONSTITUTION ISSUE
เล่มที่ 1 มิ.ย.-ก.ย. 50



วงศ์ทิพย์ ชุ่มภาณี

Advisor to Bangkok Bank,
Former Advisor to the Senate Foreign Relations Committee
                 
 
GUEST WRITERS:
ทำไมภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อสายตาชาวต่างชาติจึงเสื่อมถอยลง
โดย วงศ์ทิพย์ ชุ่มภาณี
     
                 
 
มันดูจะไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดามากนักที่คนไทยต้องประสบกับความประหลาดใจและผิดหวังกับปฏิกิริยาที่ค่อนข้างรุนแรง และดูไม่ค่อยเป็นมิตรของชาวต่างชาติ หลังจากที่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ประกาศมาตรการ เพื่อจัดระบบระเบียบ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งรัฐบาลที่แล้วได้ทิ้งความวุ่นวายเอาไว้

ทั้งชาวต่างชาติ และกลุ่มผู้สนับสนุนคุณทักษิณ อาจจะมีความคล้ายกันอยู่อย่างหนึ่ง ตรงที่พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความแน่วแน่ของกระบวนการต่อต้าน ที่ได้สะสมมาเป็นเวลานานถึง 5-6 ปี สิ่งที่คุณทักษิณได้ทำอย่างดีเยี่ยม คือ การให้ชาวต่างชาติได้ฟังในสิ่งที่พวกเขาอยากฟัง ได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาอยากเห็น ที่จริงนักลงทุนต่างชาติก็ได้เข้ามาลงทุน ทำธุรกิจกันอย่างไม่ต้องกังวลกับเรื่องใดๆ มากนัก มานานกว่า 30 ปีแล้ว พวกนี้เขาไม่จำเป็นต้องมานั่งกังวลเรื่องการเมืองของประเทศไทยเลย ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล ธุรกิจก็ยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างดี มั่นคงและเป็นอิสระ แต่สาเหตุของการแปรผันของทัศนคติ และปฏิกิริยาที่มีต่อรัฐบาลไทยของชาวต่างชาติ น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปรียบประดุจกับการระเบิดขึ้นของระเบิดลูกใหญ่ 3 ลูกทีเดียว

ระเบิดลูกแรกก็คือ ความตื่นตระหนกของชาวต่างชาติกับการทำรัฐประหารในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ในช่วงเวลาก่อน 10 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้รับการกรอกหูจนเชื่อว่า ทหารจะไม่มีวันก่อการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีแม้แต่จะคิด ไม่ต้องนึกว่าจะทำได้หรือไม่ ทั้งนี้เพราะเราอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ การปฏิวัติล้าสมัยไปนานแล้ว นอกจากนั้น นักธุรกิจชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา นักการธนาคาร ผู้จัดการเงินทุน นักลงทุน รวมทั้งคนค้าขาย ต่างก็ทำกำไรกันถ้วนหน้าจาก ระบบทักษิโนมิกส์ พวกเขาตื่นเต้นและหลงเสน่ห์เป็นอย่างยิ่งกับสไตล์การบริหารประเทศแบบ CEO บริหารบริษัทของนายกรัฐมนตรีคนก่อน ผู้ซึ่งพยายามเร่งรีบเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ใช้ความพยายามที่จะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และขายทรัพย์สินที่เป็นความมั่นคงของชาติเพื่อทำเงินมหาศาลเข้ากระเป๋าตัวเอง นี่ยังไม่รวมไปถึงโครงการใหญ่ๆ หรือที่เรียกกันติดปากว่า าเมกะโปรเจคำ ที่มีมูลค่าถึง 1.7 ล้านล้านบาท ที่นักธุรกิจต่างชาติถูกเชิญให้เข้าร่วมประมูล โดยสามารถวางเงื่อนไขได้ด้วยตนเองตามสบาย

เมื่อครั้งที่คุณทักษิณชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 และครั้งที่สองเมื่อเดือนเมษายน 2549 นั้น นักลงทุนต่างชาติเชื่อสนิท ชนิดที่เรียกว่าวางเดิมพันหมดตัว ว่ารัฐบาลนี้จะต้องอยู่ในอำนาจอีกไม่น้อยกว่า 8 หรือ 12 ปี ภายใต้สถานการณ์ขณะนั้น ดูแล้วยากที่ใครอื่นจะเข้ามาเป็นรัฐบาลที่ประชาชนจะยอมรับ และไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าจะมีรัฐบาลชั่วคราว อันเป็นผลเนื่องมาจากการก่อรัฐประหารโดยกองทัพอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การที่มีกรณีฟ้องร้องคุณทักษิณอยู่กว่า 30 คดีในขณะนี้ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ หรือผู้จัดส่งสินค้า และผู้รับเหมา ต่างก็กลัวว่าจะติดร่างแห ถูกตรวจสอบเรื่องโกงกิน หรือติดสินบนไปด้วย จึงทำให้เกิดความพยายามร่วมกันที่จะกดดันรัฐบาลชั่วคราวในปัจจุบัน ให้จัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด เพราะหวังว่าคุณทักษิณจะกลับเข้ามามีอำนาจได้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น การเปลี่ยนรัฐบาลจึงกลายมาเป็นความตื่นตระหนกของชาวต่างประเทศโดยทั่วไป

ลูกระเบิดลูกที่สองเป็นเรื่องของค่าเงินบาท จากการที่มีการเก็งกำไรเงินบาทของนักเก็งกำไรระหว่างชาติ ติดต่อกันมาตลอดปีก่อนที่ผ่านมา และดูจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกขณะ ทำให้ค่าเงินบาทถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และน่ากลัวยิ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ออกมาตรการสำรองเงินร้อยละ 30 สำหรับการนำเงินเข้ามาลงทุนระยะสั้นในประเทศไทย ซึ่งสำหรับผู้จัดการเงินทุนและนักลงทุนต่างชาติแล้ว การควบคุมเงินทุนไม่ว่าจะในรูปแบบ หรือระดับใดก็ตาม เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการนำมาใช้กันอีกแล้วในยุคนี้ ผลที่ตามมาก็คือความไม่สบอารมณ์กับรัฐบาลปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นทุกที พวกเขามีความเชื่อว่าหากคุณทักษิณยังอยู่ เหตุการณ์จะไม่เลยเถิดถึงขนาดนี้แน่นอน

มาถึงระเบิดลูกที่สามคือ การเสนอการแก้ไข พระราชบัญญัติธุรกิจต่างประเทศ นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยดำเนินนโยบายการค้าแบบปล่อยเสรี ซึ่งให้สิทธิพิเศษ และสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างเต็มที่ เป็นเวลาถึง 3 ทศวรรษที่นักลงทุนต่างชาติคุ้นเคยกับเมืองไทยที่มีทัศนคติเอื้ออำนวยความสะดวกแก่พวกเขา นอกจากนั้น นักลงทุนต่างชาติยังได้ประโยชน์ในการที่รัฐบาลไทยไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้ง กฎ ระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการค้า และการลงทุนอย่างจริงจังเท่าใดนัก

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดไว้ก็เกิดขึ้น นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักว่า ความคุกรุ่นทางการเมืองซึ่งมีมานานเสมือนไฟสุมขอนนี้ ได้ถูกกระพือโหมเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในเดือนมกราคม 2549 ที่ตระกูลชินวัตรขายธุรกิจให้กับ Temasek ของประเทศสิงคโปร์ การขายครั้งนี้เท่ากับ บริษัทชินคอร์ปได้ขายทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสมบัติที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับความมั่นคงของชาติไปด้วย การต่อสู้ในกรณีนี้ ยังมีบริษัทอื่นอีก 16 บริษัทที่มีส่วนเกี่ยวพันได้ถูกดึงเข้ามาสู่กระบวนการตรวจสอบด้วย การตื่นตัวของสื่อมวลชนก่อให้เกิดเป็นแรงกดดันให้รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ต้องดำเนินการบางอย่าง สัญญาณที่ส่งมาจากสังคมก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก ว่าคนไทยต้องการ การปฏิบัติการที่รวดเร็วและเข้มงวดจากภาครัฐ ในกรณีละเมิดพระราชบัญญัติธุรกิจต่างชาติ ของชินคอร์ป ะ Temasek เมื่อกฎหมายสำคัญฉบับนี้ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องชัดเจนขึ้น มันจึงกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ และความยุ่งยากของมวลธุรกิจข้ามชาติที่จะต้องปรับตัวแก้ไขเป็นการด่วน

นอกจากนี้ ความลังเล เชื่องช้าในการทำงานและการจัดการของคณะรัฐมนตรี ทำให้นักธุรกิจชาวต่างชาติขวัญเสีย พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่เคยเชื่อเกี่ยวกับเมืองไทยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นักลงทุนเหล่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในธุรกิจโทรคมนาคม การค้า ทั้งค้าปลีก ค้าส่ง รวมทั้งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม และขมขื่นว่าเมืองไทยกำลังจะปิดประเทศ และไม่เปิดต้อนรับนักธุรกิจต่างชาติอีกต่อไป

เท่านั้นยังไม่พอ ช่วงกลางเดือนมกราคมก็เกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้นมากอีก รัฐบาลไทยประกาศลดความ สัมพันธ์ทางการทูตกับสิงคโปร์ เนื่องจากไม่พอใจที่รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ยอมต้อนรับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณอย่างเป็นทางการ ทั้งๆ ที่มีการติดต่อขอร้องอย่างชัดเจนเป็นการส่วนตัว จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยมาล่วงหน้าแล้ว การประกาศเช่นนี้ของรัฐบาลไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การทูตของไทย ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนเอาน้ำเกลือไปราดแผล CNN ในสิงคโปร์ยังเผยแพร่ออกอากาศการสัมภาษณ์อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถูกยึดอำนาจของไทย นานถึงครึ่งชั่วโมง

หลังจากนั้น ยังมีการสัมภาษณ์คุณทักษิณลงตีพิมพ์ใน ASWJ, Nippon Shimbun, Newsweek, Economist รวมทั้งในนิตยสาร Time ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์โจมตีทั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เลยไปจนถึงปรัชญา าเศรษฐกิจพอเพียงำ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การออกข่าวในสื่อต่างประเทศของคุณทักษิณที่บินไปบินมาประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดูไบ และออสเตรเลีย ทำให้เกิดความขุ่นข้องใจอย่างมากในหมู่คนไทย พวกเขาไม่อยากจะเชื่อกันเลยว่าคุณทักษิณจะใช้เงินซื้อสื่อต่างชาติโดยไม่มีการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจในประเทศนั้นๆ เลย

ถ้าอยากจะเข้าใจความคิดว่าทำไมชาวต่างชาติจึงมีปฏิกิริยารุนแรงมากต่อรัฐบาลชั่วคราว ก็ให้ดูตัวอย่างที่อเมริกาใต้ได้เลย ประเทศในอเมริกาใต้เคยเป็นจุดหมายปลายทางที่ชื่นชอบของการลงทุนจากต่างประเทศเช่นเดียวกัน ต่างชาติก็มองประเทศไทยแบบเริ่มตั้งคำถามในนโยบายหลักของรัฐบาลซึ่งยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน หรือบางทีการกระทำแบบชี้นำของคุณทักษิณอาจเป็นชนวนให้ชาวต่างชาติกลัวว่า ประเทศไทยจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคระบาดต้มยำกุ้งในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ คล้ายๆ กับที่เคยเกิดวิกฤติในประเทศบราซิลและเวเนซุเอลา มาแล้ว

จากสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ เห็นได้ชัดว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งรัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ์ ไม่มีทางเลือก ไม่สามารถจะใช้วิธีประนีประนอมได้เลย นอกจากจะต้องใช้ปฏิบัติการทางกฎหมายอย่างเข้มงวดและรวดเร็ว เพื่อจัดการกับอดีตนายกรัฐมนตรีมิให้กลับมามีอำนาจอีกต่อไป ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ประเทศไทยถูกสถานการณ์อันเลวร้ายบังคับให้ต้องเดินฝ่ากองเพลิง ก่อนที่เราจะสามารถเดินกลับมาสู่วิถีชีวิตที่เป็นปกติและสามารถทำมาหากินกันอย่างสงบอีกครั้ง

ดังนั้น พวกเราจึงหวังว่าเพื่อนๆ ของเราชาวต่างประเทศที่มีความจริงใจกับเราและเป็นเพื่อนแท้ของเมืองไทย จะเข้าใจสถานการณ์ที่ยากลำบากของเราในขณะนี้ และหวังว่าจะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่มีความเปราะบาง และอ่อนไหว สถานการณ์ที่โหดร้ายทารุณของประเทศไทย และของคนไทยทุกคน พวกเราใคร่ขอและคาดหวังว่าเพื่อนต่างชาติของเราจะอดทนรอให้เราได้มีเวลาจัดระบบในบ้าน จัดระเบียบในประเทศ ให้เราได้ก้าวพ้นวิกฤติทางการเมืองในครั้งนี้ไปได้ พวกเราคาดหวังว่าเพื่อต่างชาติของเราจะมีความเชื่อมั่นในคนไทย เชื่อมั่นในประเทศไทยอย่างแท้จริง และนั่นคือความหมายของคำว่า าเพื่อนำ •
   
                 

 
HONGSAKUL.COM | ABOUT US | CONTACT US | SITE MAP