English | Thai  





ELECTION ISSUE
เล่มที่ 2 พ.ย.50 - ก.พ.51



สุลักษณ์ ศิวรักษ์

Philosopher, Activist,
Barrister,Nobel Prize Nominee
                 
 
GUEST WRITERS:
แด่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
โดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์
     
                 
 
ถ้าท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ดำรงชีพอยู่จนถึงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๑ ท่านก็จะมีอายุครบ ๘ รอบนักษัตร คือ ๙๖ ปี บริบูรณ์ พวกเราที่เคารพนับถือท่าน ก็หวังกันว่าท่านอาจจะมีชีวิตอยู่กับพวกเราเกินไปกว่านั้น เพื่อเป็นร่มโพธ์ร่มไทรให้พวกเราได้พึ่งพาในทางจิตใจต่อไป เพราะจะหาคนร่วมสมัยเช่นท่านนั้นไม่มีแล้ว คือท่านเชื่อมความเป็นกุลสตรีอย่างเก่า โดยเข้ากันได้ดีกับความทันสมัยของประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระ ท่านยืนหยัดอยู่ฝ่ายคนยากไร้ มั่นคงในสัจจะและสันติวิธี พร้อมๆ กับความจงรักภักดีต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งท่านได้รับใช้อย่างใกล้ชิดมาแต่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โดยที่สมเด็จพระพันปีหลวงก็ได้พระราชทานนามแก่ท่านอีกด้วย

ท่านรักสามีและลูกๆ ของท่าน ในฐานะเมียและแม่ที่ควรแก่การเอาเยี่ยงเป็นอย่างยิ่ง หากท่านยังขยายความรักความเข้าใจไปยังคนอื่นๆ อีกมากหน้า สมดังคาถาในกรณียเมตตาสูตรที่ว่า มารดารักลูกน้อย โดยยอมสละชีวิตเพื่อลูกฉันใด พึงเจริญความรักเช่นนี้ไปยังสรรพสัตว์ฉันนั้น กล่าวคือท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นพุทธศาสนิกตามเนื้อหาสาระ ยิ่งกว่าตามรูปแบบ ท่านไม่เคยผิดศีลทั้ง ๕ ข้อ ท่านมากไปด้วยทานบารมี และที่สำคัญเหนืออื่นใด คือท่านไม่พยาบาทใครๆ ทั้งๆ ที่หลายคนเบียดเบียนบีฑาท่านและสามี ตลอดจนลูกชายของท่านอย่างจังๆ หรือในทางอ้อมก็ตามที

ถ้าท่านอยู่จนถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายนนี้ ท่านก็จะเป็นประจักษ์พยานคนสุดท้าย ที่ได้เห็นการอภิวัฒน์ของสยามแต่เมื่อค่อนศตวรรษมาแล้ว แต่แล้วการอภิวัฒน์ดังกล่าวกลับถูกเผด็จการปูยี้ปูยำมาเกือบโดยตลอด จนการรัฐประหารล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การที่ท่านไม่อยู่จนถึงวันดังกล่าว ก็อาจจะเป็นการเหมาะสมแล้วกับสภาพทางการเมืองอันกึ่งดิบกึ่งดีที่เป็นไปในบัดนี้

ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ก็ตรงที่ท่านเลือกวันจากไปสู่ปรโลก ณ วันที่ ๑๑ พฤษภาคม (ถ้านับอย่างสมัยใหม่ ก็ต้องถือว่าเป็นวันที่ ๑๒ แล้ว เพราะท่านสิ้นใจลงเมื่อสองยามล่วงแล้วไปสองชั่วโมง แต่ตามปฏิทินโหรและการนับแบบไทยๆ ย่อมถือได้ว่ายังเป็นวันที่ ๑๑ อยู่) ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดสามีท่าน โดยที่ท่านทั้งสองครองรักกันตลอดมา และร่วมทุกข์กันยิ่งกว่าร่วมสุข โดยที่ท่านถือว่าความทุกข์ของราษฎรส่วนใหญ่นั้นหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าท่านมากนัก ท่านจึงรับได้อย่างรู้เท่าทัน นับว่าท่านเป็นพุทธาทิบัณฑิตโดยแท้ เพราะจะหาชนชั้นบนที่เข้าใจความข้อนี้นับว่ายากยิ่งนัก และใช่แต่ท่านจะเข้าใจความทุกข์ยากของคนส่วนใหญ่เท่านั้น หากท่านยังร่วมกับสามี อุทิศชีวิตเพื่อช่วยกันปลดเปลื้องความทุกข์ยากนั้นๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม หากยังทำไม่สำเร็จ เพราะมารที่ครอบงำโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมและรุนแรง ยังมีพลังอย่างเข้มแข็ง โดยผนวกเอากำลังจากบรรษัทข้ามชาติและอภิมหาอำนาจที่เป็นจักรวรรดิ์อย่างใหม่เข้ามาหนุนเป็นแรงผลักดันอย่างสำคัญยิ่งอีกด้วย

อาจารย์ปรีดี ล้มเหลวจากงานอภิวัฒน์ของท่าน ก็เพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ดังที่สัจจะยังแพ้อาสัตย์อยู่ในระยะสั้น แต่ตามพระอนิจลักษณะ ทุกอย่างย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป และข้าพเจ้าเชื่อว่าเมล็ดพืชที่อาจารย์ปรีดีและคณะราษฎรเพาะพันธุ์เอาไว้ในทางประชาธิปไตย รวมถึงขบวนการเสรีไทยที่กอบกู้ความเป็นไทให้สยามอย่างสมภาคภูมิ จักต้องคืนกลับมา ก่อนเวลาครบศตวรรษของการอภิวัฒน์สยาม ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้นแล อย่างน้อยท่านผู้หญิงก็ได้อยู่มาจนแลเห็นงานฉลองศตวรรษชาตกาลของสามีท่าน ซึ่งได้รับการเนรคุณจากชนชั้นปกครองมาเกือบจะโดยตลอด แต่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ยังงานฉลอง ๕ ทศวรรษและ ๕ รอบนักษัตร ของวันประกาศสันติภาพ ซึ่งก็คือวันประกาศอิสรภาพ ที่สามีท่านกระทำในพระปรมาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ ๘ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ โดยที่ขบวนการเสรีไทยก็ได้รับการเนรคุณมาเฉกเช่นงานอภิวัฒน์ของคณะราษฎรนั้นแล

อาจารย์ปรีดีเป็นคนไทยจำนวนน้อย ที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงและเมื่อมีอำนาจแล้ว ก็ไม่เป็นงัวที่ลืมตีน ท่านอยู่ข้างคนยากไร้ตลอดมา และท่านเป็นผู้ชายไทยจำนวนน้อยอย่างพิเศษ ที่ไม่เคยนอกใจภรรยาเอาเลย แม้ขณะมีอำนาจวาสนา ท่านอุทิศตนให้ครอบครัวอย่างอบอุ่นแต่ก็ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นอกไปจากนี้แล้วท่านอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชาติและราษฎร ตลอดจนมนุษยชาติ ด้วยความเสียสละในทุกๆ ทาง ไม่แต่ความคิดความอ่านและเวลาอันควรเป็นส่วนตน รวมถึงทรัพย์สินเงินทองที่ท่านหามาได้นอกเหนือเงินเดือน กล่าวคือท่านตั้งโรงพิมพ์และสำนักพิมพ์แต่ก่อนการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ ทั้งต่อมาท่านยังร่วมกับมิตรสหายตั้งธนาคารเอเชียขึ้นอีกด้วย และแล้วท่านก็อุทิศผลงานทั้งหมดนี้ ให้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อสถาบันอุดมศึกษาแห่งใหม่ จะได้เป็นอิสระจากรัฐบาล แม้จนเบี้ยประชุมที่ท่านได้จากรัฐวิสาหกิจ หรือธุรกิจเอกชน เช่นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ท่านก็ไม่รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนใดๆ สิ้น ทั้งนี้โดยมีท่านผู้หญิงร่วมอนุโมทนาด้วยอย่างจริงใจ

ครั้นเมื่ออาจารย์ปรีดีได้รับการเนรคุณจากรัฐบาลไทย หลังรัฐประหาร ๒๔๙๐ ซึ่งเป็นต้นตอแห่งการทำลายประชาธิปไตยของไทย รัฐบาลแต่นั้นมาทุกยุคทุกสมัยไม่ยอมจ่ายเบี้ยบำนาญให้ท่าน เฉกเช่นไม่ออกหนังสือเดินทางให้ท่านอีกด้วย ทั้งๆ ที่นั่นคือสิทธิอันชอบธรรมของท่าน หากท่านไม่มีศรีภรรยาอย่างท่านผู้หญิงพูนศุข ท่านคงลำบากยากเข็ญในทางเศรษฐกิจ ไม่ย่อหย่อนไปกว่าทางการเมือง เดชะบุญท่านผู้หญิงมีทรัพย์สินจากสกุลเดิมของท่านอยู่บ้าง จนถึงขนาดขายบ้านป้อมเพชรที่ถนนสีลม และนำเอาส่วนแบ่งมาซื้อที่อยู่ ณ ตำบลอองโตนี นอกกรุงปารีส และมีทุนทรัพย์พอสำหรับจับจ่ายใช้สอยในยามอพยพหลบภัยอยู่ฝรั่งเศส โดยที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล้าอนุมัติให้ท่านโอนเงินออกไปต่างประเทศได้ ทั้งๆ ที่นั่นไม่ผิดกฎหมาย แต่คนที่ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมย่อมยากที่จะกระทำได้ ดังที่นายป๋วยเป็นคนแรกของลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นชนชั้นนำรุ่นหลัง แล้วกล้าออกไปพบท่านอาจารย์และท่านผู้หญิง ซึ่งเป็นเหตุให้คุณป๋วยถูกหมายหัวไปในทางเลวร้ายแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะก็ในแวดวงของชนชั้นสูง ที่กลัวสัจจะ

ใช่แต่ท่านผู้หญิงจะช่วยเหลือสามีทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ก็หาไม่ หากในทางการเมือง ท่านก็ช่วยอย่างปิดทองหลังพระมาโดยตลอด และที่สำคัญยิ่งก็ตอนที่อาจารย์ปรีดีแพ้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในกรณีที่เรียกว่ากบฎวังหลวงในปี ๒๔๙๒ ท่านผู้หญิงหาที่หลบซ่อนให้สามีได้อย่างแยบคาย เป็นเวลานาน ทั้งยังวางแผนให้ท่านอาจารย์หลบหนีออกนอกประเทศได้โดยสวัสดิภาพ

ดังได้กล่าวแล้วว่าอาจารย์ปรีดีไม่ต้องการเพียงอิสรภาพของราษฎรสยาม (ซึ่งรวมถึงคนซึ่งไม่ใช่ไทย) หากท่านต้องการรับใช้มนุษยชาติอีกด้วย โดยเฉพาะก็ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตกอยู่ใต้อาณานิคมของฝรั่ง จนหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านผู้หญิงสนับสนุนสามีในทุกกรณี จนประเทศนั้นๆ เข้าใจในคุณูปการดังกล่าว เมื่อลาวและเวียดนามฉลองเอกราชครบครึ่งศตวรรษ รัฐบาลของทั้งสองประเทศได้มอบเหรียญมิตรภาพอันสำคัญยิ่งแด่ท่านผู้หญิง ด้วยความคารวะสักการถึงตัวท่านเองและถึงสามีของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย ในขณะที่รัฐบาลไทยไม่เคยยกย่องเชิดชูเกียรติท่านด้วยประการใดๆ นอกเหนือไปจากการจับกุมท่านและบุตรชายคนโต ในข้อหาว่าเป็นกบฏทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ทั้งๆ ที่ปราศจากข้อเท็จจริงใดๆ สิ้น

สตรีที่เป็นท่านผู้หญิงนั้น ย่อมได้รับพระราชาทานตราทุติยจุลจอมเกล้าฯ วิเศษของฝ่ายใน โดยที่ในรัชกาลที่ ๘ สตรีที่ได้รับเกียรติยศถึงขั้นนี้มีเพียงสาม อีกสองท่านคือ ๑) ท่านผู้หญิงพหลพลพยุหเสนา ภรรยาของท่านเชษฐบุรุษ ซึ่งเป็นผู้นำของคณะราษฎรในการนำอภิวัฒน์มาสู่สยาม เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ๒) ท่านผู้หญิงละเอียด ภรรยาจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความเป็นเผด็จการจนตลอดรัชกาลที่ ๘ แต่แล้วในช่วงนั้น ใครๆ ก็พากันยกย่องท่านผู้หญิงละเอียด ให้เป็นดัง First Lady ทั้งๆ ที่ต่อมาอาจารย์ปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้หญิงของท่านก็แสดงบทบาททางข้างหลังอย่างละเมียด ทั้งๆ ที่ภรรยาของอดีตประธานผู้สำเร็จราชการฯ คนก่อนได้รับพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้าฯ ของฝ่ายในด้วยซ้ำไป หากท่านผู้หญิงพูนศุขไม่ปรารถนายศศักดิ์อัครฐานใดๆ ให้เกินสถานะของสามัญชนไป

ทราบว่าเมื่อรัชกาลปัจจุบันเสวยราชครบ ๕๐ ปี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนชั้นตราจุลจอมเกล้าแก่ทุกๆ ท่านที่เคยได้รับตราดังกล่าวมาแต่รัชกาลที่ ๘ เช่น ม.ล. ปุ๋ย ชัยนาม ได้รับเลื่อนจากตติยะจุลจอมเกล้าฯ วิเศษ (ต.จ.ว.) เป็นทุติยะจุลจอมเกล้า (ท.จ.) หากท่านที่ได้รับทุติยะวิเศษมาแล้ว และมีเพียงผู้เดียว หาได้รับเลื่อนชั้นไม่ ซึ่งท่านผู้หญิงพูนศุขก็ไม่ได้แสดงความแปลกใจหรือเสียใจแต่ประการใด

ท่านเป็นคนเข้าใจโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ อย่างรู้เท่าทัน ไม่ว่าจะลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือธรรมที่อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งเป็นของคู่กัน

แม้ข้าพเจ้าเองจะเคยเข้าใจท่านอาจารย์ปรีดีมาอย่างผิดๆ ทั้งยังเคยโจมตีท่านอย่างรุนแรง เมื่อรู้สำนึกผิด ไปขอขมาท่าน ทั้งท่านและท่านผู้หญิงอโหสิให้อย่างจริงใจ และทั้งสองท่านได้เมตตากรุณาข้าพเจ้าตลอดมา แม้เมื่อท่านอาจารย์จากโลกนี้ไปก่อนแล้วแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านผู้หญิงก็กรุณาปราณีข้าพเจ้ากับครอบครัวและบริษัทบริวารทั้งหลายอยู่เนืองนิตย์ เมื่อญาติมิตรจัดงานฉลองอายุข้าพเจ้าครบ ๖ รอบนักษัตรในพระอุโบสถวัดทองนพคุณ ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ ท่านผู้หญิงได้กรุณาไปเป็นประธานในงานและมอบพระพุทธรูปหยกให้ข้าพเจ้า ท่านกล่าวว่า พระพุทธรูปหยกองค์นี้ ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ได้บูชาเสมอมาจนตลอดชีวิต ท่านผู้หญิงได้ปรึกษากับลูกๆ แล้ว เห็นสมควรมอบให้ข้าพเจ้า เพื่อรับไว้บูชาสักการะสืบต่อไป ข้าพเจ้าถือว่านี่เป็นนิมิตมงคลอันสำคัญ เท่ากับเป็นการสืบทอดเจตนาประชาธิปไตย ในทางสันติประชาธรรม ตามรอยพระพุทธวัจนะ จากท่านรัฐบุรุษอาวุโส ผู้ซึ่งเป็นต้นตอที่มาของประชาธิปไตยไทย ในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันชอบธรรม ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานที่จะรักษาสภาพการปกครองดังกล่าวไว้ด้วยคำพูด ข้อเขียนและการกระทำ ในแนวทางของพระอริยมรรค จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และเชื่อว่าจะมีอนุชนสืบทอดแนวทางนี้สืบต่อไปชั่วกาลนาน เพื่อประโยชน์สุขของพหูชนชาวสยาม และมนุษยชาติ ตลอดจนสรรพสัตว์ (จากหลังปก ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ของ ส. ศิวรักษ์ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๐)

อนึ่งวันที่ ๒๔ มิถุนายนที่จะถึงนี้ ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ให้ไปนั่งภาวนาร่วมกับมหาชนแต่คืนก่อนนั้น แล้วเขาอุปโลกให้ข้าพเจ้ากล่าวนำ ณ เวลาย่ำรุ่ง ที่หน้าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งมีหมุดจารึกข้อความไว้ว่า ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง ณ ที่นี้ คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ

ก็ ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่งนั้น ผู้ที่อ่านประกาศของคณะราษฎรฉบับแรกคือนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำของคณะอภิวัฒน์ โดยที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้ร่างเอกสารอันสำคัญยิ่งนี้ และบัดนี้เจตนารมณ์ของคำประกาศดังกล่าว ได้ปลาสนาการไปเกือบหมดสิ้นแล้ว วาทะของข้าพเจ้า ๗๕ ปีให้หลังคำประกาศครั้งแรก ย่อมขาดความแหลมคม เช่นแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว แต่ข้าพเจ้าก็จะพยายามแสดงเจตนารมณ์ไปในทางอภิวัฒน์ให้ราษฎรสยาม ได้เดินหน้าไปในทางเสรีภาพที่แท้ อย่างมีภราดรภาพเป็นน้ำกระสายที่สำคัญ ในอันที่เข้าสู่ความเสมอภาคให้จงได้ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม อย่างน้อยก็ขอให้สัมฤทธิ์ผลก่อนกาลครบศตวรรษของประชาธิปไตยไทย ทั้งนี้เพื่ออุทิศน้ำพักน้ำแรงบูชาคุณท่านอาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่งของข้าพเจ้า แม้ท่านทั้งสองจะละโลกนี้ไปแล้ว ก็แต่ในทางร่างกาย ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านย่อมจะรับทราบได้โดยญาณวิถี และเชื่อว่าทั้งสองท่านจะมาเป็นพยานร่วมกับมหาชน ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ที่จะถึงนี้ โดยที่ท่านและปูชนียบุคคลอื่นๆ ในขบวนการของคณะราษฎรที่ไม่ทรยศต่อมวลชน และในขบวนการเสรีไทย คงจะรวมพลังกันจากปรโลก มาปกป้องพวกเราทั้งหลาย ในการที่จะเอาชนะมาร เพื่อความยุติธรรมและสันติของประชาชาตินี้ และของมวลมนุษยชาติ ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหมดทั้งสิ้น •
 



 
                 

 
HONGSAKUL.COM | ABOUT US | CONTACT US | SITE MAP